5 จุด ! ที่ใช้ในการพิจารณาราคาขายรถมือสอง

เกณฑ์ที่ใช้ในการพิจารณาราคาขายรถมือสอง

ในปัจจุบันผู้คนในประเทศเรา มีอัตราการซื้อขายแลกเปลี่ยนรถยนตร์มือสองที่สูงมากๆ เนื่องด้วยเมื่อใช้งานไปซักพัก เราอาจจะถึงจุดที่ต้องขายรถเก่าแล้วไปซื้อรถใหม่ เหตุอาจเกิดจากการเปลี่ยนแปลงขนาดครอบครัว , รถเก่าเริ่มมีปัญหาซ่อมจุกจิกมากขึ้น หรืออาจเกิดตามความเหมาะสมต่างๆมากมาย

เบื้องต้นเราลองมาดู 5 ประการสำคัญ ในการดูแลรถเพื่อไปขายต่อให้ได้ราคาดีกันครับ

1)  สภาพเครื่องยนต์

เป็นจุดที่แสดงถึงความใส่ใจ่ในการดูแลรถ ซึ่งนอกจากจะเปิดดูสภาพแล้ว เรากควรสตาร์ทเครื่องเพื่อเช็คหาความผิดปกติด้วย โดยจุดสังเกตสำคัญ ได้แก่ เช็คระดับของเหลว, ระดับน้ำมันเครื่อง/หล่อลื่นต่างๆ มองหา การรั่วซึม รวมทังกลิ่นไหม้หรือกลิ่นผิดปกติ และอย่าลืมมองหาคราบสงสกปรกที่ขั้วแบตเตอรี่ เพราะมีผลกับ ประสิทธิภาพของการส่งไฟเข้ารถ

2)  ตัวถัง

ทำความสะอาดและเช็คสภาพภายนอกตัวถังรถให้ดี มีรอยขีดขวนล่  ึกไหม รอยบุบ หรือสนิมขึ้นรึเปล่า เพราะมัน สามารถแสดงถึงการใช้งาน เคยเฉี่ยวชน หรือน้ำท่วมไหม

3)  ยางรถ

ควรเช็คทั้งดอกยางและยางในให้อยูในสภาพดีซักหน่อย ถ้าดอกยางสึกหรือยางในสภาพไมไหวแล้ว อย่างน้อย ลองหายางมือสองสภาพดีๆมาเปลี่ยน เพื่อไม่ให้โดนกดราคาจนเกินไป และถ้ามีอุปกรณ์/เครื่องมือ ก็นำมาใส่ไว่    ้ ให้ครบด้วย

4) ระบบไฟฟ้า

นี่เป็นจุดที่จะได้    ใช้บ่อยและสังเกตได้ ง่ายที่สุด เราควรจะเช็คการใช้งานของทุกอยางบนหน้าคอนโซล ตั้งแต่เข็มหน    ้าปัด , ไฟต่างๆ , ระบบเสียง จนไปถึงที่ปัดน้ำฝนด้วย

5)  บุ๊คเซอร์วิส และเอกสารรถ

เก็บประวัติการบารุงซ่อมแซมของรถให้ดี , ประกัน , ทะเบียนรถ รวมถึงเอกสารต่างๆในการขาย เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือและความสบายใจของผูซื้อ

และที่สำคัญ หมั่นทำความสะอาดรถทั้งภายในและภายนอกให้สะอาดเรียบร้อยอยูเสมอเมื่อมีเหตุฉุกเฉินหรือ อาการผิดปกติจะไดสังเกตุได้ทันที

แน่นอนว่าในช่วงนี้เศรษฐกิจไม่ค่อยดีนัก คนที่บริหารเงินไม่เก่งหรือไม่ยอมหาวิธีการบริหารค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ก็อาจจะทราบกันดีว่าเราอาจจะต้องลำบากถึงขั้นเป็นหนี้เป็นสินเลยก็ได้ หลายคนมีปัญหามากขึ้นเรื่อยๆ แต่หากเรารู้จักบริหารเงินได้ดี สามารถลดค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ แน่นอนว่าโอกาสที่เราจะผ่านช่วงวิกฤตไปได้นั้นไม่ยากเลย หลายคนเลือกที่จะบริหารเงินและลดภาระหนี้สินด้วยการนำรถมาขายทอดตลาด ถือเป็นอีกวิธีที่เราสามารถลดค่าใช้จ่ายได้ เพราะต่อให้เราไม่ได้มีรถยนต์ขับ แต่เรายังสามารถนั่งรถประจำทางไปทำงานแทนได้เช่นกัน แต่การขายรถมือสองนั้น หากเราไม่รู้เลยว่าจะประเมินราคารถของเราอย่างไรได้บ้าง แน่นอนว่าเราจะถูกเอาเปรียบได้ง่าย ไม่สามารถขายได้ในราคาที่สูง ดังนั้นบทความนี้มาดูว่าก่อนที่จะขายรถของเราไปเป็นรถมือสองให้คนอื่นนำไปใช้ต่อนั้น เราจะต้องประเมินราคาด้วยตนเองได้อย่างไรจึงจะช่วยให้เรารู้ทันไม่ถูกเอาเปรียบ

แนวทางการประเมินหาราคารถยนต์ของเราด้วยตนเองก่อนนำไปฝากขายกับคนกลางนั้น เราจะเริ่มจากดูว่ารถของเราเป็นรุ่นอะไร เป็นรุ่นใหม่หรือรุ่นที่เก่าแล้ว เพราะยิ่งรถรุ่นใหม่ยิ่งยังขายทอดตลาดได้ราคาสูง หากเป็นรถรุ่นก่อนหน้า ราคาก็จะตกลงไปเรื่อยๆ ซึ่งเมื่อเราพิจารณารุ่นของรถ ปีที่ออกมาแล้ว เราจะต้องให้ความสำคัญของการใช้งานที่ผ่านมาด้วยว่ามีการใช้งานมากน้อยเพียงใด เพื่อพิจารณาคุณภาพความเสื่อมโทรมของเครื่องยนต์ เราสามารถดูได้จากตัวเลขระยะทางการวิ่งที่อยู่บริเวณเข็มไมล์ เพื่อช่วยให้เราทราบว่ารถใช้งานมามากเพียงใด โดยทั่วไปหากอยู่ที่ 2 – 3 หมื่นกิโลเมตร ถือว่ามีการใช้งานไม่มากนัก สำหรับรถที่มีตัวเลขการวิ่งมากกว่า 5 หมื่นกิโลเมตรขึ้นไป ถือว่าเป็นรถที่มีการใช้งานมากพอสมควร เราก็จะต้องพิจารณาส่วนนี้ด้วย ยิ่งรถยนต์คันใดที่ผ่านการใช้งานมาน้อย แสดงว่าเป็นรถที่ไม่ได้มีการใช้งานหนัก เครื่องยนต์อาจจะถูกประเมินว่ายังมีคุณภาพดี ทำให้เราขายต่อได้ในราคาที่สูงกว่าเครื่องยนต์ที่ผ่านการใช้งานมานาน ดังนั้นหากเรารู้ว่ารถยนต์ของเราไม่ได้ใช้งานหนักมากและไม่ได้ใช้บ่อยเหมือนกับรถทั่วไป เราสามารถอัพราคาขายให้รถของเรามีราคาที่สูงขึ้นได้อีกด้วย ซึ่งหากเราไม่มีความรู้ในการประเมินราคารถเบื้องต้นดังที่กล่าวมา แน่นอนว่าเราไม่สามารถขออัพราคาให้รถของเราขายได้ในราคาแพงขึ้น